วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ขำ ขำ



เบื้องหลังการทำงาน
^
^
^
^
^
(ทีมเวิร์ค)





ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออก

“จาตุรนต์”ให้โอกาสครูสู้กับปัญหานักเรียนอ่านไม่ออก






      วันนี้(24ก.ย.)นายจาตุรนต์  ฉายแสง  รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)  กล่าวถึงผลสำรวจนักเรียนป.3 และป.6 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก ซึ่งพบว่าทั่วประเทศมีจำนวนมากว่า จากข้อมูลที่สพฐ.เสนอมานั้น ตนไม่อยากให้ไปกลัวว่าจะเป็นตัวเลขที่สูงแล้วจะต้องกลายเป็นความผิดพลาดบกพร่อง แต่อยากให้เป็นเรื่องที่ผู้บริหารและครูควรกล้าเผชิญความจริง โดยสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะหาทางลดจำนวนเด็กกลุ่มนี้ได้อย่างไร เช่น การหาเวลาที่จะสอนเพิ่มเพื่อปรับปรุงทักษะการอ่านให้แก่เด็กกลุ่มนี้ หรือจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนแบบเข้มข้น
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่าทางกระทรวงไม่ได้มองเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกว่าเป็นผู้ที่มีปัญหาหรือมีความบกพร่อง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการตำหนิครูหรือถือว่าเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของระบบการศึกษาที่อยู่ระหว่างการหาทางแก้ไขปัญหา แต่เราต้องการให้มีการปฏิบัติต่อเด็กด้วยการส่งเสริมให้ทำด้วยความสมัครใจพร้อมทั้งดึงผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กด้วย
“ โดยรวมแล้วผมยอมรับว่าการอ่านของเด็กไทยยังน่าเป็นห่วงมาก เพราะนี่แค่เฉพาะกลุ่มเด็กระดับชั้นป.3และป.6 เท่านั้น จึงเป็นการดีที่เราสามารถจับจุดได้เร็ว ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วไปด้วย ทั้งนี้ในการแก้ปัญหาเด็กอ่านหนังสือไม่ออกนั้น หากโรงเรียนไหนต้องการสแกนเพื่อตรวจหาเด็กในระดับชั้นอื่นๆก็สามารถดำเนินการได้ เพื่อจะได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากกระทรวงศึกษาธิการ " นายจาตุรนต์ กล่าว
 ฮับบะตุซเซาดาอ์ (ยี่หร่าดำ)



         ฮับบะตุซเซาดาอ์ (หรือที่คนไทยรู้จักในนาม เทียนดำ”) เป็นชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งชาวอียิปต์เรียกว่า ฮับบะตุลบารอกะฮฺหรือ อัลกัมมูนอัลอัสวัด (ยี่หร่าดำ) ชาวยะมันเรียกว่า เกาฮเฏาะฮชาวอิหร่าน เรียกว่า ชุวัยนิชหรือ ชุนิชในภาษาเปอร์เซีย และในเมืองไทยเป็นที่รู้จักกันดีเรียกว่า เทียนดำลักษณะของมันนั้น เมล็ดสีดำคล้ายงา รสชาติร้อนและขมเล็กน้อย
          การแพทย์สมัยก่อนนั้น นำฮับบะตุซเซาดาอ์มาเป็นเป็นส่วนประกอบในการบำบัดโรคทุกชนิดโดยอาศัยหะดีษ ซึ่งรายงานจากอบีหุรอยเราะห์รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า แท้จริงท่านรอซูลซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า จำเป็นสำหรับท่านทั้งหลาย คือ ฮับบะตุซเซาดาอ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตายบันทึกโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม
          ประโยชน์ของฮับบะตุซเซาดาอ์นั้นมีมากมาย รับประทานทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถบำบัดรักษาได้ทุกโรค
            ฮับบะตุซเซาดาอ์ (ยี่หร่าดำ) ยังมีประโยชน์ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับความเย็นทุกชนิด ในโรคที่เกิดจากความร้อนแห้ง มันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับยาที่เย็นและชื้นให้เข้าสู่ตัวโรคได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
          ยี่หร่าดำยังเป็นยาขับคมขจัดสะเก็ดในโรคชันนะตุ มีประโยชน์ในโรคเรื้อนและในไข้ที่มีเสลดมากมีเสมหะมาก จะช่วยเปิดทางที่อุดตันได้ ช่วยให้ลมเดินสะดวก บรรเทาความชื้นและลมในกระเพาะ ถ้าหากนำมาบดและนวดกับน้ำผึ้งและผสมน้ำร้อนดื่มจะช่วยละลายนิ่วในไตและต่อมลูกหมาก ช่วยขับปัสสาวะ และประจำเดือน ช่วยเพิ่มน้ำนม ถ้าดื่มเป็นประจำหลาย ๆ วัน ถ้าหากถูกทำให้ร้อนโดยผสมกับน้ำส้มสายชูแล้วนำมาทาจะช่วยขจัดเม็ดชันนะตุได้      น้ำมันของยี่หร่าดำมีประโยชน์ในการรักษา พิษงูกัด รักษาหูด ถ้าผสมน้ำดื่มหนึ่งมิษกอล (25กรัม) จะช่วยรักษาโรคเหนื่อยหอบหายใจลำบากได้ การประคบด้วยยี่หร่าดำจะช่วยรักษาโรคปวดศรีษะจากความเย็น ถ้าหากนำมาผสมกับน้ำส้มสายชูและนำมาแปะที่ฝีหรือสิวจะช่วยดูดหนองได้ หากนำมาบดรวมกับน้ำส้มสายชูและทาให้กับคนที่เป็นโรคเรื้อนหรือจุดด่างดำที่ผิวหนัง หรือศรีษะมีรังแคมากจะช่วยรักษาได้

          คุณค่าที่ได้รับจากฮับบะตุซเซาดาอ์ นั้นถูกผสมผสานในการรักษาโรคเป็นอย่างดีและโรคจะทุเลาอย่างน่าแปลกใจ ดังนั้น มันจึงมีประโยชน์และมีแร่ธาตุที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เช่น ฟอสเฟต, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน และมีสารเบต้าแคโรทีน ทำปฏิกิริยาต่อต้านมะเร็งในวงกาแพทย์มุสลิมพบว่าฮับบะตุซเซาดาอ์ นั้นเป็นยาที่มีประโยชน์มากและสิ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือ สิ่งที่ท่านรอซูลซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกไว้ถึงสรรพคุณของมัน.
 พ่อแม่ประสบความสำเร็จในการอบรมเลี้ยงดูลูก

      ภารกิจของพ่อแม่ในยุคปัจจุบันนี้ คงต้องยอมรับว่ามีภาระหนักกับการอบรมเลี้ยงดูลูกในสังคมปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้น การใช้วิธีการเลี้ยงดูเช่นเดียวกับที่ตนเคยเป็นลูกในอดีต ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากสภาพของสังคมบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก และมีความแตกต่างกับยุคสมัยที่ตนเองอยู่ในฐานะที่เป็นลูกโดยสิ้นเชิง
       การให้ความรักอย่างเพียงพอ ถือเป็นเรื่องสำคัญในสังคมยุคนี้ พ่อแม่บางคนอาจมองเรื่องความรักเป็นเรื่องธรรมดา และตีความหมายเป็นอย่างอื่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวขาดแคลนความรัก หรือได้รับความรักน้อยเกินไป ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ความรักความสนใจที่จริงใจก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจนอกจากนี้ อาจมีผลพลอยได้จากการหยิบยื่นความรักให้แก่ลูกอย่างถูกต้องและเหมาะสม กล่าวคือ
ลูกได้รับรู้และรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก ย่อมอยากแสดงความดีให้พ่อแม่เห็น เป็นการตอบแทน  ให้ความรักอย่างสม่ำเสมอและปราศจากเงื่อนไขในทุกโอกาส
       ยิ่งกว่านั้น วินัยเป็นคำ ๆ เดียว ที่พ่อแม่จะต้องปลูกฝัง หรือซึมซับให้เกิดขึ้นในตัวลูกให้ได้ ครอบครัวไทยโดยองค์รวม มักให้ความสำคัญในเรื่องวินัย ไม่มากเท่าที่ควร สำหรับครอบครัวมุสลิม การฝึกวินัยเกี่ยวกับการปฏิบัติละหมาดฟัรดู ถือเป็นการฝึกวินัยขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการสร้างวินัยในตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้น การฝึกวินัยให้ลูกด้วยความรักแห่งการปฏิบัติละหมาดจนเป็นนิสัย แน่นอน ลูกจะได้รับการพัฒนาวินัยของตนเองได้ และเมื่อนั้น ลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นมองตนเองว่ามีคุณค่า และมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ    รู้ว่าอะไรถูก-อะไรผิด สามารถจำแนก แยกแยะได้ถูกต้อง เพราะการปฏิบัติละหมาดเป็นการป้องกันการกระทำในสิ่งอิสลามห้ามอย่างมีประสิทธิภาพมีทางเลือกในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ถูกภาวะกดดัน หรือมีข้อจำกัดในการหาทางออก
      ในทำนองเดียวกัน การที่พ่อแม่สามารถเปลี่ยนแปลงลูกไปสู่พฤติกรรมดังกล่าวได้ แน่นอน อาจช่วยส่งเสริมปัจจัยทั้ง 3 ประการนี้โดย :
พ่อแม่มีความสม่ำเสมอในเรื่องของความอดทน และสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้อย่างเป็นอย่างดี
สื่อความหมายกับลูกให้ชัดเจน ปากกับใจต้องตรงกัน
ทำความเข้าใจพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของลูกว่ามีความหมายอย่างไร ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ให้ความมั่นใจ ใส่ใจพฤติกรรมที่ถูกต้อง มากกว่าการจับจ้องพฤติกรรมที่พ่อแม่ยังไม่พอใจชมเชยสิ่งที่ดีของเขาสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในบ้านให้สามารถเล่นรื้อค้นได้อย่างปลอดภัย กรณีมีลูกอยู่ในวัยกำลังเล่น กำลังซนกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้าใจง่าย บอกให้รู้ว่าอะไรที่พ่อแม่ต้องการให้ทำ และอะไรที่ไม่ต้องการให้ทำสถานการณ์บางขณะในบ้าน เช่น พี่น้องทะเลาะกัน อาจนำไปสู่การเกิดอารมณ์รุนแรง พ่อแม่ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม รู้จังหวะที่จะเข้าไปจัดการอย่างเหมาะสม
       ปัจจุบัน การมีเวลาให้กับครอบครัว ถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับพ่อแม่ในยุคนี้ พ่อแม่หลายคนมักไม่เห็นความสำคัญของเรื่องเวลา ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวมีความรุนแรงจนสุดจะแก้ไขเยียวยาได้ ดังนั้น พ่อแม่ควรมีเวลาเล่นกับลูก โดยเน้นความสนุกสนาน และสร้างสัมพันธ์ที่ดี มากกว่าการควบคุม สั่งสอน หรือเข้มงวดเรื่องการเรียน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว อาจเรียกว่า ยังขาดความเข้าใจในการสร้างสัมพันธ์กับลูกที่ดี
         การมีความสนใจและให้ความสำคัญต่อคู่สมรสของตนเอง ย่อมถือเป็นแบบอย่างหรือสื่อของการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ดี กล่าวคือ พ่อแม่ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน เพราะความรัก ความนับถือซึ่งกันและกัน การยอมรับ และให้เกียรติระหว่างกันของพ่อแม่ จะก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจของทุกคนภายในครอบครัวอย่างมีความหมายยิ่ง
      สิ่งที่ครอบครัวจะปฏิเสธไม่ได้คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะบุคคล หรือปัญหาของครอบครัวก็ตาม พ่อแม่ควรสอนทักษะในการแก้ปัญหาที่ถูกต้องให้แก่ลูกด้วย ในฐานะเป็นผู้มีประสบการณ์ชีวิตมาก่อน หรืออาจขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ใกล้ชิดหรือไว้วางใจ ให้เป็นผู้เสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาให้แก่ลูกก็ได้ ทั้งนี้ ควรมีแนวปฏิบัติ ดังนี้
    อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าวิธีการแก้ปัญหาที่เขาใช้ไปแล้วนั้น ไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง และแนะวิธีที่เหมาะสมกว่าเพื่อเขาจะได้นำไปใช้ ในคราวหน้าสำหรับเด็กเล็ก ๆ ให้แนะนำตรง ๆ ว่าถ้าพบปัญหานี้ควรทำอย่างไร
สำหรับเด็กโตที่รู้จักคิดเองได้ พ่อแม่อาจตั้งคำถามให้เด็กคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แล้วจึงเสนอวิธีการต่าง ๆ เพิ่มเติมให้พัฒนาความเคารพนับถือ หรือ อิกรอมซึ่งกันและกัน พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นที่เคารพนับถือของลูก เช่น
แสดงกิริยาวาจาสุภาพกับลูก                                                                                                                                             รู้จักขอโทษเมื่อพ่อแม่เป็นฝ่ายผิด                                                                                                                                 ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีสนใจกิจกรรมที่ลูกทำด้วยความจริงใจแสดงความซื่อสัตย์             
     รักษาสัญญาให้ลูกเห็น                                                                                                                                                 แสดงความไว้วางใจรับฟังการตัดสินใจของลูกไม่แสดงความชื่นชม หรือเข้าข้างลูกคนใดเป็นพิเศษ หรือออกนอกหน้า


การจัดการเรียนการสอนศาสตร์สาระอิสลามแบบบูรณาการ


         ลักษณะการจัดการเรียนการสอนศาสตร์สาระอิสลามที่ผ่านมาหรือในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนในระดับฟัรดูอีน ตาดีกา ซานะวีย์ อะลีย์ หรือกุลลียะห์ เป็นวิธีการเรียนที่มุ่งเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชามากกว่าการเรียนรู้จากสภาพที่เป็นจริง และไม่เน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดวิเคราะห์ การแสดงความคิดเห็น การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังขาดการเชื่อมโยงให้เหมาะสมกับบริบทและสภาพแวดล้อมในสังคม ผลของการใช้หลักสูตรทุกระดับ ยังมีข้อจำกัดหลายประการ การสอนแยกออกเป็นวิชา ทำให้การเรียนรู้แยกกันเป็นส่วนๆ ไม่สัมพันธ์หรือไม่สอดคล้องกัน ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อย ส่วนใหญ่มักจะเรียนในห้อง ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความเป็นจริงนอกห้องเรียน
         ในชีวิตของคนเราจะพบสิ่งต่างๆ มากมายหลายชนิด หลายประเภทในเวลาเดียวกันประสบการณ์ต่างๆ หรือปัญหาทั้งหลายจะเกี่ยวข้องกันหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทุกคนจะใช้ทักษะหลายๆ อย่าง ในการเรียนรู้ประสบการณ์และการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดหรือลดน้อยลงไป
         ตามนัยนี้ มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของการสอนแบบบูรณาการไว้ว่า การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง วิธีการสอนโดยนำสิ่งหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องมาผสมผสานกัน เพื่อให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับสภาพชีวิตจริง โดยทั่วไปจะเน้นที่การบูรณาการเทคนิควิธีการสอนโดยใช้หลาย ๆ วิธีผสมผสานกัน และการบูรณาการเนื้อหาสาระวิชาการที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน

          นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้ความหมายไว้อีกมากมาย อาจสรุปได้ว่า การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้วิธีการสอนหลายวิธี จัดกิจกรรมต่างๆ ในการสอนเนื้อหาสาระที่เชื่อมโยงกัน ตลอดจนมีการฝึกทักษะต่าง ๆ ที่หลากหลาย
 ยกเลิกรับตรง เหลือเเอดมิชชั่น

       




         ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านจาตุรนต์ ฉายแสง ได้เปิดเผยในที่ประชุมเสวนาการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (14 ก.ย.56) โดยได้มีช่วงหนึ่งได้กล่าวว่า "ประเทศไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เพราะระบบการรับตรงมีปัญหา โดยทุกวันนี้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะหลายมหาวิทยาลัยเปิดสอบตรงจำนวนมาก ในการสอบแต่ละครั้งนักเรียนต้องใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้นักเรียนที่มีฐานะทางบ้านแตกต่างกันเสียเปรียบกัน นักเรียนบางคนสอบทุกที่ เสียเงินเป็นแสน ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็ได้รายได้ไปหลายสิบล้าน"
        "อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรยกเลิกระบบรับตรง นั้นคือ ข้อสอบรับตรงออกเกินหลักสูตร ซึ่งเนื้อหาไม่มีความเป็นกลางตามหลักสูตรแล้วแต่มหาวิทยาลัยจะออก ทำให้เด็กในระบบ ม.ปลาย ดิ้นรนไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบแข่งขัน ซึ่งตนเห็นว่าอยากให้นักเรียนไทยเรียนกวดวิชาตามความจำเป็น จึงอยากจะให้มีการยกเลิกรับตรง"

        ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวยังไปสอดคล้องกับแนวคิดของ พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่มีความเห็นว่า "อยากให้ท่านรัฐมนตรีกล้าๆ หน่อย ออกมาปรับเปลี่ยนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หยุดสร้างภาระให้กับเด็ก แต่ไปสร้างกำไรให้เด็กแทน โดยย้ำว่าในต่างประเทศไม่มีการสอบรับตรง จะมีแต่สอบกลาง แต่หากแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เชื่อมั่นในข้อสอบของแอดมิชชั่นกลาง เลยหันไปรับตรงแทน ก็ให้มาช่วยแก้ไขกัน"
  
แมลงวัน



             ท่านศาสดามูฮัมมัด ได้กล่าวว่า เมื่อมีแมลงวันได้ตกใส่ภาชนะของพวกท่านคนใดคนหนึ่ง ให้เขากดมันให้จมไปทั้งตัว หลังจากนั้นให้เอาทิ้งไปเพราะปีกข้างหนึ่งจากสองปีกของมันนั้นเป็นยาและปีกอีกข้างหนึ่งของมันเป็นโรครายงานโดยท่านบุคอรี นะซาอี และท่านอบีดาวูด
       หะดีษนี้นับเป็นหะดีษที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุด หะดีษหนึ่งในหมู่ชนมุสลิมทำให้เขาได้รู้ว่าแมลงวันนั้นเป็นสัตว์ที่ต้องระวังเพราะมันมีเชื้อโรคหรือสามารถนำโรคมาให้เราได้แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รู้ด้วยว่าภายในแมลงวันตัวเดียวกันที่นำโรคมาให้มนุษย์นั้นกลับมียาที่จะรักษาโรคนั้นๆรวมอยู่ด้วย
      เนื่องจากมุสลิมเป็นผู้ที่ยอมรับต่อบัญชาของอัลลอฮ์และคำสอนของท่านศาสดามูฮัมมัดอยู่แล้วและพร้อมที่จะปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่สงสัยในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าและศาสดาของพระอง์บอกเลยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และมันมีเชื้อโรคจริงๆ หรือไม่ ถ้าจริงคืออะไร ชนิดใด และมียารักษาโรคนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงคือชนิดใดและอยู่ที่ไหน? นั่นแหละคือความศรัทธามั่นของบรรดามุสลิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขา
      แต่อย่างไรก็ตามน่าจะเป็นการดีว่า ถ้าเราจะสามารถรู้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรแน่เพราะนี่คือโอกาสทองของบรรดามุสลิมที่ได้รู้คำตอบที่ถูกต้องไว้เรียบร้อยแล้วเหลือเพียงหาสาเหตุที่เป็นจริง ๆ ให้พบเท่านั้น เขาก็สามารถจะรู้ได้โดยง่ายดาย การค้นคว้าในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะเราไม่เชื่อถือในสิ่งที่พระองค์บอกแต่เป็นเพราะเราจะได้ทำตามสิ่งที่พระองค์สั่งเรา อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือการพิจารณาสังเกตสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงสร้างและความมหัศจรรย์ของมันซึ่งจะยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธาแก่เราให้มากยิ่งขึ้นและช่วยให้มุสลิมเราได้มีความรู้ความสามารถขึ้นกว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิมสามารถที่จะทำให้ศาสนาของพระองค์เป็นที่ยอมรับกันมากยิ่งขึ้นไป การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการทำดีต่อพระผู้เป็นเจ้าและศาสนาของเราอีกทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากการละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาต หรือการทำฮัจย์ก็ตาม สมควรที่พวกเราควรตั้งใจทำกันให้มาก ๆ เพื่อศาสนาของเราเอง
      แมลงวันเป็นสัตย์ที่อยู่คู่กับโลกมานานแล้ว และเป็นที่คุ้นเคยกับคนทั่ว ๆ ไป แต่อย่างไรก็ตามไม่ค่อยได้มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันเท่าไรนัก
      แมลงวันบ้าน มีชื่อทางภาษาอังกฤษว่า HOUSE FLY และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Musca domestica จัดเป็นแมลงชนิดหนึ่ง ขนาดเล็ก ประกอบด้วย สามส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งคือส่วนหัว (Head) ซึ่งจะมีปากไว้ดูดอาหารได้ ส่วนที่สองคือส่วนอก (Thorax) จะประกอบด้วยปล้องสามปล้องและมีขาคู่หนึ่งออกมาในแต่ละปล้อง จึงมีขางอกออกมาทั้งหมดหกขาและปีกสองปีกอยู่เหนือขาปล้องกลาง ส่วนที่สามคือส่วนท้องหรือลำตัว (Abdomen) ซึ่งจะมีกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบย่อยอาหารอยู่ภายในด้านข้างของลำตัวจะมีท่าหายใจโผล่ออกมาเป็นแถว ๆ ท่อที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่บริเวณส่วนอกใต้ปีกสองข้าง ส่วนท่อเล็ก ๆ อื่น ๆ อยู่บริเวณท้อง ตัวโตเต็มวัยจะมีชีวิตประมาณ 17-29 วัน
      จากการศึกษาพบว่าส่วนมากแล้วแมลงวันจะมีเชื้อโรคติดอยู่ตามขาทั้งหกข้างและปีกทั้งสองข้างของมัน เนื่องจากชอบอยู่ในที่สกปรกและขามันมีลักษณะเป็นขน ๆ เชื้อโรคจึงติดไปกับมันโดยง่าย
              แต่ก็เป็นที่น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งเช่นกันว่า เชื้อโรคเหล่านี้ไม่ได้อยู่ตลอดไปมันจะอยู่ไม่นานแล้วหายไปหมด เช่น B enteritides ที่ทำให้เกิดลำไล้อักเสบหรือโรคท้องร่วงจะอยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวัน B typhosus ต้นเหตุของโรคไข้ไทฟอยด์อยู่ได้ไม่เกิน 6 วัน V cholera ที่ทำให้เกิดโรคอหิวาต์อยู่ได้ไม่เกิน 2 วัน หลังจากนั้นมันก็จะหายไปหมดโดยไม่มีเชื้อโรคใด ๆ หลงเหลืออยู่ นอกจากเชื้อที่อยู่เป็นปกติในลำไส้เท่านั้น
          นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าต่อมาจนพบว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะในลำไส้ของแมลงวันมีไวรัสชนิดหนึ่งอาศัยอยู่และไวรัสชนิดนี้เองที่เป็นตัวจับแบคทีเรียทั้งหมดนี้ และปล่อยดีเอ็นเอของมันเข้าไปในเซลล์เชื้อโรคเหล่านี้จึงต้องผลิตแต่ตัวไวรัสชนิดนี้ออกมาจนตัวเชื้อโรคเองต้องแตกออกและตายไปในที่สุด

        ไวรัสชนิดนี้จึงมีชื่อว่าแบคเทริโอเฟจ (Bacteriophage) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า เฟจ (Phage) แปลว่าผู้ฆ่าแบคทีเรียนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้จักกันดีและได้ถูกใช้นำมาฆ่าเชื้อโรคที่ทำอันตรายมนุษย์เป็นเวลาช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นอเล็กซานเดอร์เฟลมมิง คิดค้นยาปฏิชีวนะคือยาเพนิซิลลินขึ้นมาได้เป็นครั้งแรก ก็เลยทำให้แบคเทริโอเฟจ ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปและไม่ค่อยมีการค้นคว้าเกี่ยวกับมันอีก นอกจากในประเทศรัสเซียซึ่งยังมีการค้นคว้ากันอยู่     นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อาศัยร่วมในลำไส้ของแมลงวันแต่ไม่ทำอันตรายแมลงวันนั้นก็มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยเช่นเดียวกัน โดยเป็นพวกเชื้อราบางชนิดเขาเรียกพวกนี้ว่า ไมโครไบโอตา (Microbiota) ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ๆ นั่นเอง
อิสลามกับการทุจริต คิดมิชอบ


          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย หัวใจของเราที่เปี่ยมล้นด้วยความยำเกรงหรือ ตักวาต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างยั่งยืนนั้น ย่อมนำพาตนเองใปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง และเป็นแนวทางที่มีความปลอดภัยในชีวิต ทั้งในโลกนี้และโลกปรภพอย่างแน่นอน ดังนั้น  วาระเร่งด่วนของประชาคมมุสลิมทุกวันนี้คือ การชึมซับชีวิตและจิตวิญญูาณให้มี ตักวาอยู่เสมอ โดยบริหารชีวิตจิตใจให้ห่างไกลกับความชั่วช้าสามาลย์ทั้งหลาย  รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต  คิดมิชอบ หรือการประพฤติตนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่สุจริตในรูปแบบต่าง ๆ แต่หันสู่ภารกิจที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคำสอนให้ประพฤติ ปฏิบัติเป็นวิถีชีวิต จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง       ปัจจุบัน ปัจจัยการทุจริตไต้แพร่ระบาดในสังคมไทยทุกระดับ ทุกกลุ่มชน เมื่อพิจารณาสารัตถะจากมุมมองของพระคัมภีร์อัลกุรอาน อาจสรุปได้ในประโยคหนึ่ง ว่า : เนื่องจากมนุษย์ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า และการไม่ปฏิเสธมวลผู้ละเมิดทั้งหลาย (หมายถึง ทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าและไม่มีสีสันของพระเจ้า)
          นั่นคือ ความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และการปฏิเสธบรรดาผู้ละเมิด ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการควบคู่หรือร่วมกัน อันก่อให้เกิดความก้าวหน้า และความเป็นเลิศของบุคคลและสังคมอย่างแน่นอน ดังปรากฏนัยแห่งอัลกุรอาน ดังนี้
ความว่า แน่นอน เราได้ส่งรอซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยบัญชาว่า) พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และจงหลีกห่างจากพวกเจว็ดดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีการหลงผิดคู่ควรแก่เขา  ดังนั้น พวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่าบั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นใด”  (ซูเราะฮ์อัลนะฮ์ลิ อายะฮ์ที่ 36)
              ท่านพี่น้องผู้มีอิหม่านที่รักทั้งหลาย คุณภาพของมนุษย์นั้น อยู่ในกรอบของคำสอนศาสนาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบไว้ในอำนาจของมนุษย์ ขณะที่มนุษย์ ได้นำเอาบทบัญญัติของอิสลามด้านคุณธรรมมาเป็นครรลองในการปฏิบัติในมุมมองต่างๆ ของชีวิตด้วยความคิดอิสระ  พร้อมทั้ง ให้คำตอบกับความต้องการอันเป็นธรรมชาติของตัวเอง และก้าวไปถึงวัตถุประสงค์ที่เป็นเป้าหมายในการสร้าง จนสามารถประสบความสำเร็จ หากเป็นเพราะความหลงใหลที่มีต่อโลก โดยละเมิดคำสั่งสอนของศาลนา หรือเลือกปฏิบัติบทบัญญัติบางประการ อันไม่ก่อผลเสียหายต่อผลประโยชน์ทางโลกของตน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เท่ากับได้เลือกปฏิบัติตามความพอใจ หรือปฏิบัติตามอำนาจฝ่ายต่ำของตน ด้วยเหตุนี้ สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยฉุดกระชากให้ตนเองและสังคมตกต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการโน้มนำสังคมและชุมชนไปสูความล้าหลังและความตกต่ำอย่างน่าเศร้าใจยิ่ง
                  ความก้าวหน้าและความตกต่ำของสังคม มีปัจจัยสำคัญที่สุด คือ ผู้บริหารหรือผู้ปกครองในสังคม หากเป็นคนมีศาสนาหรือมีความเคร่งครัดในระเบียบคำสอนของศาสนาอย่างสมบูรณ์ หรือมีความมั่นคงต่อคำสอน และแพร่ขยายนำไปสู่การปฏิบัติด้วยความละเอียดอ่อนในสังคม บรรดาผู้รู้และผู้มีบทบาทในสังคมต่างให้การสนับสนุนถ้วนหน้า บุคคลทั่วไปก็ถือปฏิบัติตามผู้รู้และผู้บริหารผู้ปกครองในสังคม ทำให้พวกเขาได้ออกห่างจากความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย แต่ถ้าผู้บริหารหรือผู้ปกครองคนนั้นไม่มีความเคร่งครัดในศาสนา ลุ่มหลงโลกและทรัพย์ศฤงคาร หวงแหนในลาภยศสรรเสริญ ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใดก็ตาม อีกทั้งจมปลักอยู่กับกิเลสและความต้องการ ไม่ให้เกียรติผู้รู้หรือใช้ประโยชน์ในทางที่ผิดจากพวกเขา ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาของสังคม หรือกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้คนทั้งหลาย แน่นอน จิตใจของพี่น้องทั่วไปย่อมฟุ้งซ่านและมีความกระวนกระวายใจ ดังนั้น หากผู้บริหาร หรือ ปกครองไม่ต้องการที่จะปรับปรุงสังคมให้เป็นไปในทางที่ดี และบุคคลทั่วไปก็ไม่ช่วยกันกำชับความดีงาม หรือห้ามปรามความชั่วร้าย ทั้งหมดยึดถือวัฒนธรรมความชั่วร้ายที่คล้ายคลึงกัน ทั้งหมดลุ่มหลงและมีความอยากได้ไนทรัพย์ของคนอื่น แน่นอน หากสังคมเป็นเช่นนี้ สมาชิกของสังคมนั้นก็จะค่อย ๆ ปนเปื้อนความสกปรกเหล่านั้นดุจเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม ถือเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ โดยเขาต้องการจะปกป้องศาสนาของเขาให้รอดพ้น และปลอดภัย

           ด้วยเหตุนี้ จุดกำเนิดของความชั่วร้ายในสังคม เริ่มจากความหลงใหลต่อโลกหลงตัวเอง หลงตำแหน่ง ทะเยอทะยาน ใฝ่สูงในยศถาบรรดาศักดิ์ ต้องการมีอิทธิพลต่อฝ่ายบริหาร ดังนั้น ความเสื่อมศรัทธาในผู้บริหาร ผู้ปกครองก็เกิดจากชนเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน หากประชานนิ่งเฉยต่อการกระทำของพวกเขา ก็ต้องพลอยรับกรรมตามไปด้วย                             ขออนุญาตอ้างอิงตัวอย่างในอดีตกาล เมื่อบุคคลเฉกเช่นยะซีดได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองรัฐอิสลามในสมัยนั้น เป้าหมายมิใช่สิ่งใดอื่นนอกจากความภาคภูมิใจและความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ปกครอง การแสวงหาอำนาจ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน ชื่อเสียงกิเลส อำนาจใฝ่ต่ำ และการจมปลักอยู่กับความลุ่มหลงทางโลก นำเอาบุคคลเฉกเช่น นักรายงานหะดีษ ผู้เผยแผ่ศาสนาให้มารับผิดชอบเรื่องการปกครอง หรือนำเอาบุคคลอื่น เนื่องจากหวาดกลัว หรือห่วงในทรัพย์สิน จึงได้นิ่งเงียบปล่อยให้ทุกอย่างไปตามยะถากรรม เนื่องจากเขาได้ทำลายประวัติศาสตร์และต้องการพลิกผันประวัติศาสตร์ให้เป็นอย่างอื่น จึงแนะนำผู้ปกครองว่าเป็นนักปราชญ์ทางศาสนา เขาได้วินิจฉัยผิดพลาดและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของตน เขาจึงผิดพลาด ซึ่งความผิดพลาดของเขาได้สร้างบาปกรรมแก่ครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เป็นที่สุด พวกเขาได้ถูกกดขี่ทรมาน หลังจากนั้น ผู้กระทำผิดได้แสร้งกลับตัวกลับใจ ขอลุแก่โทษต่อพระเจ้า ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องให้เกียรติเขา ไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะแสดงความรังเกียจพวกเขา มิเช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เมื่อประชาชนได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้โดยไม่กลั่นกรองให้ดี แต่กลับนำเอาคำพูดไร้แก่นสารบรรจุไว้ในโสตประสาทของตน ดังนั้น เขาจะไม่มีวันทำลายความเสื่อมทรามทางสังคมให้หมดสิ้นไปได้ หรือจะมีความคาดหวังว่า สังคมจะก้าวหน้าและพัฒนาไปสู่ความเจริญได้อย่างแน่นอน

อัลกุรอ่านทางนำแห่งชีวิต



        ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และละทิ้งสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม แล้วเราจะได้รับความสำเร็จทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
      อัลกุรอาน คือ พระดำรัสของอัลลอฮฺที่ทรงประทานแก่ท่านนบีมุฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ผ่านมลาอิกะฮฺญิบรีล เป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของอัลลอฮฺสำหรับมนุษยชาติ เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษย์ไปสู่การมีชีวิตที่มีความสงบสุขในโลกนี้และโลกหน้า ดังที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงตรัสไว้ว่า
إِنَّ هَـذَا الْقُرْآنَ يِهْدِي لِلَّتِي هِيَ أَقْوَمُ وَيُبَشِّرُ الْمُؤْمِنِينَ الَّذِينَ يَعْمَلُونَ الصَّالِحَاتِ أَنَّ لَهُمْ أَجْراً كَبِيراً (سورة الإسراء:9)
      ความว่า แท้จริง อัลกุรอานนี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงยิ่งและแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ประกอบความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับการตอบแทนอันยิ่งใหญ่” (ซูเราะฮฺ อัล-อิสรออฺ: โองการที่ 9)
        นอกจากนั้นอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มีความมหัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นคัมภีร์ที่ประมวลศาสตร์ทุกแขนงไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตลอดกาลจนถึงวันกิยามะฮฺ เป็นธรรมนูญแห่งชีวิตของประชาชาติมุสลิมที่ครอบคลุมทุกๆมิติ ไม่ว่าในเรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคมและอื่นๆเป็นต้น

        อัลกุรอานมีคุณลักษณะเด่นหลายประการล่าวกคือเป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานลงจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ไม่ใช่เป็นการประพันธ์ คิดขึ้นมาจากมนุษย์ ซึ่งได้รับประกันจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ว่า ปลอดจากการเปลี่ยนแปลง และเป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานแก่มนุษย์ทั้งมวลและหมู่ญิน         ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย อัลกุรอานเป็นคำภีร์ที่ประมวลคำสอนที่ครอบคลุมชีวิตของมนุษย์ในทุกๆด้าน เป็นคัมภีร์ที่มีคำสอนและบทบัญญัติที่ยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคงทุกกาลเวลาและทุกสถานที่ มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสอนของอัลกุรอาน ไม่ว่าคำสอนนั้นเกี่ยวข้องกับการศรัทธาหรือที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ พยายามเป็นมิตรสหายกับอัลกุรอานให้ใกล้ชิดที่สุด ด้วยการอ่านอย่างสม่ำเสมอ พยายามให้เป็นกิจวัตรประจำวันและอ่านให้มากที่สุด เพื่อจะได้รับทางนำและผลบุญมากที่สุดจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)                                                                       **การอ่านอัลกุรอานต้องพยายามอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ และควรอ่านในสภาพบริสุทธิ์คือมีน้ำละหมาดและปกปิดร่างกาย อ่านในสถานที่สะอาด พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาสาระในอัลกุรอาน ด้วยการเรียนรู้และศึกษาความหมายของอัลกุรอานจากผู้รู้ และค้นคว้าจากหนังสือคำแปลอัลกุรอานและหนังสืออรรถาธิบายอัลกุรอาน เพื่อจะได้เข้าใจอัลกุรอานอย่างลึกซึ้ง
ความอดทน เส้นทางสู่สวรรค์





"عَجَبًالأَمْرِالْمُؤْمِنِ إِنَّ أَمْرَهُ كُلَّهُ لَهُ خَيْرٌ وَلَيْسَ ذَلِكَ لأَحَدٍ إِلاَّ لِلْمُؤْمِنِ إِنْ أَصَابَتْهُ سَرَّاءُ شَكَرَفَكَانَ خَيْرًالَهُ ، وَإِنْ أَصَابَتْهُ ضَرَّاءُ صَبَرَ فَكَانَ خَيراً لَهُ". (مسلم)
         ความว่า เล่าจากอบียะห์ยา ศุฮัยบ์ อิบนิ สินาน รอดิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า ท่านรอซู้ล(ซ.ล.)กล่าวว่า กิจกรรมของผู้ศรัทธานั้นช่างประหลาดเหลือเกิน เพราะกิจกรรมของเขาทั้งหมดนั้นเป็นความดีแก่ตัวเขาทั้งสิ้น ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นแก่ผู้ใด นอกจากผู้ศรัทธาเท่านั้น ถ้าหากเขาได้รับสิ่งที่น่าปลาบปลื้มยินดี เขาก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลลอฮ์ นั่นเป็นความดีสำหรับเขา และถ้าหากมีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับเขา เขาก็อดทน นั่นก็เป็นความดีสำหรับเขาอีกเช่นกัน  (รายงานโดย มุสลิม)
    คำอธิบายบทหะดีษ
ความอดทนคืออะไร ?
      ความอดทน หมายถึง ความรู้สึกของจิตใจอันหนักแน่นมั่นคง พร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ อย่างไม่ย่อท้อจนสำเร็จลงได้ด้วยดี ไม่รู้สึกหวั่นไหวพรั่นพรึง หรือพ่ายแพ้ต่อเหตุการณ์นั้น ๆ เช่น อดทนต่อความเจ็บปวด หรือ ป่วยไข้ แม้อาการจะหนักก็หาได้ปริปากบ่น หรือแสดงออกแต่อย่างใดเลย                                                                                                                ความอดทนหรือขันติธรรมจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีศรัทธา เพราะหากไม่มีศรัทธา จิตใจก็จะว่างเปล่า ไร้จุดหมาย เช่น เราศรัทธาว่า การทำงานทำให้เราได้รับค่าตอบแทน เราก็จะอดทนทำงานเพื่อให้ได้ค่าตอบแทน ผู้มีศรัทธามั่นจะช่วยให้เขาเกิดความอดทนในทุกสภาพการณ์ ไม่ว่าจะประสบปัญหาอันยุ่งยากสักเพียงใดก็จะมุ่งมั่นจนประสบความสำเร็จ ด้วยหลักศรัทธาที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยการกำหนดของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น     ผู้มีความอดทนย่อมมีพลังใจมหาศาล ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการงาน ต้องอาศัยความอดทนทั้งสิ้น ดังนั้นความอดทนจึงเป็นปัจจัยแรกของภารกิจและการดำรงชีวิตความสำเร็จของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น การต่อสู้กับอุปสรรคในการดำเนินชีวิต หน้าที่การงาน การพัฒนาด้านสังคมนอกจากอาศัยสติปัญญาแล้ว สิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้คือความอดทน ความมุ่งมั่น บากบั่น เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีงาม บุคคลที่สามารถอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากที่สุดของชีวิต ผ่านวิกฤติดังกล่าวได้จะกลายเป็นคนเหนือคน

       ความอดทนเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง อดทนเพื่อบรรลุความดีงาม บางครั้งถูกกระทบด้วยสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เป็นลักษณะของกายและใจที่พร้อมจะเผชิญกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ โดยไม่ยอมแพ้หรืออ่อนแอ คนเราเกิดมาถ้าไม่มีความอดทนแล้วชีวิตดูเหมือนไร้ค่า ไม่มีความหมาย และไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้

junk food




เด็กกินอาหารขยะส่งผลไอคิวลดลง





         ผลวิจัยล่าสุดพบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบที่กินพิซซ่า บิสกิต ขนมกรุบกรอบ และมันฝรั่งทอด

มากๆ มักมีไอคิวลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี เด็กที่กินอาหารขยะพวกนี้จะมีไอคิวต่ำกว่าเด็กที่กินผักผลไม้

และอาหารปรุง เองในบ้านถึง 5 คะแนน แม้เมื่อโตขึ้นได้หันมากินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็

นับว่าสายเกินไปแล้ว เพราะผลเสียจะคงอยู่ไปตลอดชีวิต  





งานวิจัยชิ้นนี้เป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาความเชื่อมโยงกันโดยตรง 

ระหว่างของกินของเด็กกับระดับสติปัญญาเมื่อโตขึ้น


โครงการวิจัยดังกล่าวของมหาวิทยาลัยบริสตอลได้นำปัจจัยเกี่ยวกับ

ชนชั้นทาง สังคม การกินนมแม่ ระดับการศึกษาและอายุของมารดา

มาร่วมพิจารณาด้วย รวมทั้งสภาพแวดล้อมภายในบ้าน เช่น การมีของเล่นและหนังสือ

นักวิจัยบอกว่า การได้รับสารอาหารที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วง 

3 ขวบปีแรกของชีวิต ซึ่งสมองกำลังพัฒนาในอัตรารวดเร็วที่สุด เด็ก

เล็กที่กินอาหารอุดมด้วยไขมัน น้ำตาล และอาหารแปรรูป จะได้รับ

วิตามินและสารอาหารน้อยเกินไป ทำให้สมองไม่ได้เติบโตอย่างเต็มที่

โครงการนี้ได้ติดตามสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กราว 

14,000 คนซึ่งเกิดในช่วงต้นทศวรรษ 2533 โดยให้ผู้ปกครองตอบ

แบบสอบถามเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ลูกได้กินตอน อายุ 3, 4, 7 และ 8 ขวบ

นักวิจัยแบ่งอาหารเป็น 3 จำพวก คือ พวกอาหารแปรรูปที่มีไขมันและ

น้ำตาลสูง, อาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์และผัก กับอาหารที่เน้นสุขภาพ เช่น สลัด ผัก ผลไม้

ดร.พอลลีน เอมเม็ต และ ดร.เคต นอร์ทสโตน บอกว่า อาหารขยะจะ

ส่งผลต่อพัฒนาการของสมองไปตลอดชีวิต แม้ว่ามีการกินอาหารที่มี

ประโยชน์มากขึ้นเมื่อโตขึ้นก็ตาม

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Epidemiology and 

Community Health บอกว่า นักวิจัยได้วัดไอคิวเมื่อเด็กมีอายุได้ 8 ขวบ

ดร.เอมเม็ตบอกว่า อาหารที่เด็กกินในวัย 4 หรือ 7 ขวบไม่มีผลต่อ

ระดับไอคิว แต่เด็กที่กินอาหารจำพวกมีประโยชน์น้อยที่สุดในวัย 3 

ขวบนั้น ประมาณ 20% ของเด็กในกลุ่มนี้มีไอคิวต่ำกว่าเด็กกลุ่มที่กิน

อาหารจำพวกมีประโยชน์มากที่ สุดถึง 5 คะแนนเมื่อโตขึ้นจนมีอายุ 8 ขวบ

"สมองจะเติบโตเร็วที่สุดในช่วง 3 ปีแรก ถ้าได้รับสารอาหารที่ดีในช่วงเวลานี้ สมองก็จะเติบโตอย่างเต็ม

ที่เมื่ออายุได้ 3 ขวบ สมองจะเติบโตช้าลง ซึ่งอาหารจะไม่มีผลนักหลังจากช่วงเวลานี้" ดร.เอมเม็ตบอก

เธอบอกอีกว่า อาหารปกติซึ่งมีเนื้อสัตว์และผัก กับอาหารที่เน้นสุขภาพทำให้มีไอคิวสูง "ไม่ได้

หมายความว่า คุณไม่ควรให้เด็กกินน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ หรือพิซซ่าเลย เพียงแต่ไม่ควรกินของพวก

นี้เป็นหลัก เด็กเล็กควรกินอาหารแบบบ้านๆ ปรุงเองในครัว ปัญหาคือคนสมัยนี้แทบไม่ทำอาหารกินเอง


ผลวิจัยเด็ก 4,000 คนชิ้นนี้ ใช้ระบบการให้ค่าคะแนนในการวัดผล


ของอาหารที่มีต่อสมอง ซึ่งพบว่า ถ้าเด็กกินอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้นทุกๆ 

1 คะแนนจะมีไอคิวลดลง 1.67 คะแนน และถ้าเด็กกินอาหารจำพวก

อื่นเพิ่มขึ้นทุก 1 คะแนนจะมีไอคิวเพิ่มขึ้น 1.2 คะแนน