อิสลามกับการทุจริต คิดมิชอบ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย
หัวใจของเราที่เปี่ยมล้นด้วยความยำเกรงหรือ “ตักวา” ต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างยั่งยืนนั้น
ย่อมนำพาตนเองใปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง และเป็นแนวทางที่มีความปลอดภัยในชีวิต
ทั้งในโลกนี้และโลกปรภพอย่างแน่นอน ดังนั้น
วาระเร่งด่วนของประชาคมมุสลิมทุกวันนี้คือ
การชึมซับชีวิตและจิตวิญญูาณให้มี “ตักวา” อยู่เสมอ
โดยบริหารชีวิตจิตใจให้ห่างไกลกับความชั่วช้าสามาลย์ทั้งหลาย
รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คิดมิชอบ หรือการประพฤติตนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่สุจริตในรูปแบบต่าง
ๆ แต่หันสู่ภารกิจที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคำสอนให้ประพฤติ ปฏิบัติเป็นวิถีชีวิต
จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างแท้จริง ปัจจุบัน
ปัจจัยการทุจริตไต้แพร่ระบาดในสังคมไทยทุกระดับ ทุกกลุ่มชน เมื่อพิจารณาสารัตถะจากมุมมองของพระคัมภีร์อัลกุรอาน
อาจสรุปได้ในประโยคหนึ่ง ว่า : เนื่องจากมนุษย์ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า
และการไม่ปฏิเสธมวลผู้ละเมิดทั้งหลาย (หมายถึง
ทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าและไม่มีสีสันของพระเจ้า)
นั่นคือ ความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และการปฏิเสธบรรดาผู้ละเมิด
ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการควบคู่หรือร่วมกัน อันก่อให้เกิดความก้าวหน้า
และความเป็นเลิศของบุคคลและสังคมอย่างแน่นอน ดังปรากฏนัยแห่งอัลกุรอาน ดังนี้
ความว่า “แน่นอน
เราได้ส่งรอซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยบัญชาว่า) “พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และจงหลีกห่างจากพวกเจว็ด” ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
ทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีการหลงผิดคู่ควรแก่เขา ดังนั้น พวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน
แล้วจงดูว่าบั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นใด” (ซูเราะฮ์อัลนะฮ์ลิ อายะฮ์ที่ 36)
ท่านพี่น้องผู้มีอิหม่านที่รักทั้งหลาย คุณภาพของมนุษย์นั้น
อยู่ในกรอบของคำสอนศาสนาอย่างปฏิเสธไม่ได้
ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบไว้ในอำนาจของมนุษย์ ขณะที่มนุษย์
ได้นำเอาบทบัญญัติของอิสลามด้านคุณธรรมมาเป็นครรลองในการปฏิบัติในมุมมองต่างๆ
ของชีวิตด้วยความคิดอิสระ พร้อมทั้ง
ให้คำตอบกับความต้องการอันเป็นธรรมชาติของตัวเอง
และก้าวไปถึงวัตถุประสงค์ที่เป็นเป้าหมายในการสร้าง จนสามารถประสบความสำเร็จ
หากเป็นเพราะความหลงใหลที่มีต่อโลก โดยละเมิดคำสั่งสอนของศาลนา
หรือเลือกปฏิบัติบทบัญญัติบางประการ อันไม่ก่อผลเสียหายต่อผลประโยชน์ทางโลกของตน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เท่ากับได้เลือกปฏิบัติตามความพอใจ
หรือปฏิบัติตามอำนาจฝ่ายต่ำของตน ด้วยเหตุนี้
สิ่งดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยฉุดกระชากให้ตนเองและสังคมตกต่ำ
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการโน้มนำสังคมและชุมชนไปสูความล้าหลังและความตกต่ำอย่างน่าเศร้าใจยิ่ง
ความก้าวหน้าและความตกต่ำของสังคม
มีปัจจัยสำคัญที่สุด คือ ผู้บริหารหรือผู้ปกครองในสังคม
หากเป็นคนมีศาสนาหรือมีความเคร่งครัดในระเบียบคำสอนของศาสนาอย่างสมบูรณ์
หรือมีความมั่นคงต่อคำสอน และแพร่ขยายนำไปสู่การปฏิบัติด้วยความละเอียดอ่อนในสังคม
บรรดาผู้รู้และผู้มีบทบาทในสังคมต่างให้การสนับสนุนถ้วนหน้า
บุคคลทั่วไปก็ถือปฏิบัติตามผู้รู้และผู้บริหารผู้ปกครองในสังคม
ทำให้พวกเขาได้ออกห่างจากความชั่วร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
แต่ถ้าผู้บริหารหรือผู้ปกครองคนนั้นไม่มีความเคร่งครัดในศาสนา
ลุ่มหลงโลกและทรัพย์ศฤงคาร หวงแหนในลาภยศสรรเสริญ ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใดก็ตาม
อีกทั้งจมปลักอยู่กับกิเลสและความต้องการ
ไม่ให้เกียรติผู้รู้หรือใช้ประโยชน์ในทางที่ผิดจากพวกเขา
ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาของสังคม หรือกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้คนทั้งหลาย แน่นอน
จิตใจของพี่น้องทั่วไปย่อมฟุ้งซ่านและมีความกระวนกระวายใจ ดังนั้น หากผู้บริหาร
หรือ ปกครองไม่ต้องการที่จะปรับปรุงสังคมให้เป็นไปในทางที่ดี
และบุคคลทั่วไปก็ไม่ช่วยกันกำชับความดีงาม หรือห้ามปรามความชั่วร้าย
ทั้งหมดยึดถือวัฒนธรรมความชั่วร้ายที่คล้ายคลึงกัน
ทั้งหมดลุ่มหลงและมีความอยากได้ไนทรัพย์ของคนอื่น แน่นอน หากสังคมเป็นเช่นนี้
สมาชิกของสังคมนั้นก็จะค่อย ๆ ปนเปื้อนความสกปรกเหล่านั้นดุจเดียวกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม
ถือเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีความสะอาดบริสุทธิ์
โดยเขาต้องการจะปกป้องศาสนาของเขาให้รอดพ้น และปลอดภัย
ด้วยเหตุนี้ จุดกำเนิดของความชั่วร้ายในสังคม
เริ่มจากความหลงใหลต่อโลกหลงตัวเอง หลงตำแหน่ง ทะเยอทะยาน ใฝ่สูงในยศถาบรรดาศักดิ์
ต้องการมีอิทธิพลต่อฝ่ายบริหาร ดังนั้น ความเสื่อมศรัทธาในผู้บริหาร
ผู้ปกครองก็เกิดจากชนเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน หากประชานนิ่งเฉยต่อการกระทำของพวกเขา
ก็ต้องพลอยรับกรรมตามไปด้วย ขออนุญาตอ้างอิงตัวอย่างในอดีตกาล
เมื่อบุคคลเฉกเช่นยะซีดได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองรัฐอิสลามในสมัยนั้น
เป้าหมายมิใช่สิ่งใดอื่นนอกจากความภาคภูมิใจและความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ปกครอง
การแสวงหาอำนาจ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน ชื่อเสียงกิเลส อำนาจใฝ่ต่ำ
และการจมปลักอยู่กับความลุ่มหลงทางโลก นำเอาบุคคลเฉกเช่น นักรายงานหะดีษ
ผู้เผยแผ่ศาสนาให้มารับผิดชอบเรื่องการปกครอง หรือนำเอาบุคคลอื่น
เนื่องจากหวาดกลัว หรือห่วงในทรัพย์สิน
จึงได้นิ่งเงียบปล่อยให้ทุกอย่างไปตามยะถากรรม เนื่องจากเขาได้ทำลายประวัติศาสตร์และต้องการพลิกผันประวัติศาสตร์ให้เป็นอย่างอื่น
จึงแนะนำผู้ปกครองว่าเป็นนักปราชญ์ทางศาสนา
เขาได้วินิจฉัยผิดพลาดและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของตน เขาจึงผิดพลาด
ซึ่งความผิดพลาดของเขาได้สร้างบาปกรรมแก่ครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
เป็นที่สุด พวกเขาได้ถูกกดขี่ทรมาน หลังจากนั้น ผู้กระทำผิดได้แสร้งกลับตัวกลับใจ
ขอลุแก่โทษต่อพระเจ้า ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องให้เกียรติเขา
ไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะแสดงความรังเกียจพวกเขา
มิเช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา
เมื่อประชาชนได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้โดยไม่กลั่นกรองให้ดี
แต่กลับนำเอาคำพูดไร้แก่นสารบรรจุไว้ในโสตประสาทของตน ดังนั้น
เขาจะไม่มีวันทำลายความเสื่อมทรามทางสังคมให้หมดสิ้นไปได้ หรือจะมีความคาดหวังว่า
สังคมจะก้าวหน้าและพัฒนาไปสู่ความเจริญได้อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น